วิธีการ รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางรถยนต์

เคยนึกสงสัยบ้างไหมว่าเมื่อไหร่ถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางรถยนต์ที่สึกของคุณ การทำงานของยางนั้นมีผลสำคัญต่อความปลอดภัย การขับขี่และประสิทธิผลของพาหนะของคุณ สำนักบริหารเพื่อความปลอดภัยทางการจราจรบนทางหลวงแห่งสหรัฐประมาณการไว้ว่า มีอุบัติเหตุร้ายแรงราว 200 รายในแต่ละปีที่มีสาเหตุมาจากความผิดพลาดของยางรถยนต์ [1] ยางส่วนใหญ่ถูกออกแบบให้สามารถทำงานได้ดังเดิมตลอดอายุการใช้งาน อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกมันจะเริ่มสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานลงในด้านการยึดเกาะถนนและการเบรก นี่คือเคล็ดลับบางข้อที่จะช่วยคุณตัดสินใจว่าเมื่อไหร่ได้เวลาหาซื้อยางเซ็ตใหม่ และหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินเกินความจำเป็น

ขั้นตอน

1.เข้าใจว่าหน้าที่เบื้องต้นของดอกยางคือการรีดจากบริเวณใต้ล้อยางเพื่อเพิ่มการยึดเกาะและหลีกเลี่ยงอาการเหินน้ำบนถนนที่มีน้ำนอง.[2] ยางรถจะเริ่มไม่ปลอดภัยเมื่อมันเริ่มสึก และพอดอกยางบางลงเหลือเพียงแค่ 1/16 ของหนึ่งนิ้ว (1.6 มม.) ยางเส้นนั้นก็ถือว่าไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว

 

2.ดูลวดลายของดอกยาง. ยางทุกเส้นที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ จะมีสิ่งที่เรียกว่า “แถบรหัสการสึกของดอกยาง” มันจะเป็นแถบสะพานเชื่อมเล็กๆ ที่ก่อขึ้นมาระหว่างดอก ดูที่ลวดลายดอกยางแล้วคุณจะเห็นต้นแถบรหัสเริ่มก่อตัวระหว่างดอกยางหรือทอดตัวเป็นแนวขวางล้อยาง เมื่อยางเริ่มสึกลง แถบรหัสเหล่านี้จะเริ่มเหี้ยนเสมอไปกับดอกยาง เมื่อถึงจุดนี้ก็ถึงเวลาต้องเปลี่ยนยาง

 

3.ตรวจดอกยางโดยการใช้ “การทดสอบด้วยเหรียญสตางค์”. หาเหรียญสตางค์แล้ววางตรงกลางของดอกยาง (ตรงส่วนที่หนาที่สุดของล้อยาง)

ถ้าคุณสามารถมองเห็นลวดลายที่นูนขึ้นมาของเหรียญ ให้เปลี่ยนยางทันที

ถ้ามองเห็นลวดลายที่นูนขึ้นมาเพียงบางส่วน ก็ถึงเวลาเปลี่ยนยางเส้นใหม่

ถ้าคุณไม่สามารถเห็นลวดลายบนเหรียญที่นูนขึ้นมา (ถ้าเหรียญถูกสอดแน่นกับดอกยางมากพอ) คุณก็ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนยาง

 

4.ใช้เกจวัดความลึกของดอกยาง. คุณสามารถใช้เกจวัดความลึกของดอกยางเพื่อวัดดอกยางรถคุณ ถ้ายังไม่มี เกจนี้มีราคาถูกและหาซื้อได้ตามร้านขายอะไหล่รถยนต์ แถมยังใช้งานได้ง่าย

คุณอาจหาเกจวัดความลึกของดอกยางที่ดาวน์โหลดได้จากการหาตามอินเทอร์เน็ต

อีกทางเลือกคือ มันอาจจะง่ายกว่าถ้าจะขับไปให้ร้านปะยางแถวบ้านช่วยตรวจดูให้คุณ ปกติพวกเขาจะเช็คให้ฟรีถ้าคุณเป็นลูกค้าประจำ

 

5.รู้ว่ากฎหมายกำหนดเอาไว้อย่างไร. ยางที่สึกหมดแล้วสมควรต้องถูกเปลี่ยนซึ่งถือเป็นสามัญสำนึกในเรื่องความปลอดภัย แต่ในเขตอำนาจศาลบางประเทศ มีข้อบังคับทางกฎหมายให้เปลี่ยนยางที่เริ่มสึกแล้ว ในหลายรัฐของสหรัฐนั้นถือว่ายางยังพอสึกได้อย่างไม่ผิดกฎหมายจนกระทั่งสึกถึง 1/16″ (1.6 มม.) จากความลึกของดอกยางที่เหลืออยู่[3] ในสหราชอาณาจักรนั้น ความลึกน้อยที่สุดของดอกยางคือ 1.6 มิลลิเมตรตามแนวตรงกลาง ¾ ของดอกยางรอบยางทั้งเส้น[4]

 

6.สังเกตดูการสึกของดอกยางที่ผิดปกติ. มันสามารถชี้ให้เห็นถึงแนวล้อที่ไม่ตรงกัน หรือถึงเวลาต้องสลับตำแหน่งยาง หรือทั้งสองกรณี ดอกยางที่สึกไม่เสมอกันนั้นเป็นสัญญาณว่าคุณจำเป็นต้องเอารถไปตรวจสภาพที่อู่

ถ้าหากดอกยางที่สึกไม่สม่ำเสมอกันเกิดขึ้นหนักมาก หรือมันเกิดเร็วขึ้นกว่าที่คาดมากๆ ให้เข้าไปตรวจสภาพระบบกันสะเทือนและซ่อมหากจำเป็นก่อนจะทำการเปลี่ยนล้อยาง การตั้งศูนย์ล้อไม่ถูกต้องหรือชิ้นส่วนของระบบกันสะเทือนเริ่มสึกหรอนั้นจะทำให้ยางมีอายุการใช้งานลดลงอย่างมาก

เป็นความคิดที่ดีถ้าจะสลับยางล้อหน้าไปล้อหลังเป็นคู่พร้อมกัน ให้นำยางล้อหน้าทั้งคู่สลับตำแหน่งกับยางล้อหลังทั้งคู่

 

7.ตรวจดูว่ามีอาการบวมโป่งผิดปกติใดๆ หรือ “ฟองน้ำ” บริเวณริมขอบยางหรือไม่. อาการบวมตรงขอบยางชี้ว่าโครงภายในของยางซึ่งไม่มีความยืดหยุ่นนั้นได้รับความเสียหายหรือเกิดฉีกขาด ทำให้ความดันอากาศเข้าไปถึงยางชั้นนอกที่ยืดหยุ่นได้ ความเสียหายเช่นว่านี้อาจเกิดจากการขับรถลงหลุมใหญ่ หรือเบียดกับขอบทาง หรือขับไปโดยที่ลมยางอ่อน การยังคงฝืนขับรถทั้งที่ยางมีสภาพบวมตรงขอบยางนี้ถือว่าอันตรายมาก ความสมบูรณ์เชิงโครงสร้างของยางนั้นลดลงอย่างมาก เพิ่มความเป็นไปได้ที่ยางจะหมดสภาพกระทันหันหรือเกิดระเบิดเมื่อแล่นเร็วๆ ซึ่งสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ยางที่มีการบวมโป่งตรงขอบยางจะต้องถูกเปลี่ยนทันที ไม่ว่าดอกยางจะอยู่ในสภาพไหน

 

8.ระยะเวลาที่ควรเปลี่ยนยาง ยางส่วนใหญ่ มีอายุการใช้งาน 3-5 ปีแต่ช่วงเวลาที่เหมาะกับการเปลี่ยนยางก็คือ เป็นไปตามสภาพของยางและดอกยางในปัจจุบันเพราะทุกวันที่มีการใช้งานยางจะต้องเจอกับพื้นถนนที่แตกต่างกันหลายแบบ ในบางครั้งอาจจะมีตะปู ของแหลมคม หลุมบ่อ การกระแทกที่รุนแรงอาจจะทำให้ยางเกิดรอยแผล บวม โครงสร้างยางเสียหาย ดอกยางสึกหรอความลึกร่องยางเหลือ ไม่ถึง 1.5 มม. หรือจอดเฉย ๆไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานทำให้ยางเสื่อมแข็ง อาการแบบนี้ควรจะรีบเปลี่ยนยางทันทีเพื่อความปลอดภัย ฉะนั้นควรก้มไปตรวจเช็คยางที่ใช้อยู่ว่าสมควรเปลี่ยนได้หรือยัง และควรสลับยางทุก ๆ 10,000-15,000 กม. ของการใช้งาน

 

9.สังเกตแรงสั่นสะเทือนตรงพวงมาลัย. หากยางสึกไม่เท่ากัน คุณอาจรู้สึกถึงแรงสะเทือนตรงพวงมาลัยเวลาขับรถ อาจจะถึงเวลาต้องสลับยาง ถ้าทำแล้วยังสั่นสะเทือนอยู่ เป็นไปได้มากว่ายางนั้นเกิดความเสียหาย

แรงสะเทือนนั้นยังอาจเกิดขึ้นจากยางสึก “เป็นแนวเฉียง” ซึ่งหมายถึงพวกมันมีรอยสึกเป็นรูปเหมือนฝาหอยรอบๆ ล้อยาง มันเกิดขึ้นเมื่อยางไม่ได้หมุนอย่างสม่ำเสมอกัน

 

10.ตรวจดูยางแห้งแตก. ถ้าคุณเห็นยางมีรอยแตกระแหงไปทั่ว นั่นหมายถึงยางนั้นเสื่อมสภาพ ล้อยางที่มีรอยแตกแห้งนี้สามารถฉีกขาดได้ โดยมันจะปริแยกออกมาจากขอบวงล้อและทำความเสียหายให้แก่ตัวถังรถได้

 

เคล็ดลับ

-รักษาแรงดันยางให้ถูกต้องตลอด

-ทดสอบล้อยางทุกเส้น และถ้าเป็นไปได้ก็ให้เปลี่ยนใหม่หมดพร้อมกันทีเดียว การเปลี่ยนยางสลับช่วงกันทำให้มีความปลอดภัย การใช้งาน และประสิทธิภาพไม่เท่าเดิม

-อายุของยางนับจากวันที่ผลิต ไม่ใช่ในวันที่ซื้อ เพราะยางนั้นจะเสื่อมคุณภาพลงแม้กระทั่งในการเก็บรักษา

-ในรถยนต์แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือขับเคลื่อนทุกล้อนั้น คุณควรเปลี่ยนยางหมดทั้งสี่เส้นถ้าหากเป็นคำแนะนำในหนังสือคู่มือ ความแตกต่างของเส้นผ่าศูนย์กลางของยาง แม้ว่าจะเป็นเพราะดอกยางที่สึกต่างช่วงกัน ก็ยังสามารถสร้างความเสียหายอย่างถาวรได้

-เกรดความสึกของยางคือตัวชี้วัดอัตราการสึกของยาง ยิ่งมีค่าความสึกของยางสูง แสดงว่ายิ่งใช้ยางได้นานกว่าดอกยางจะเริ่มสึก

-ยางมักจะไม่ได้สึกอย่างสม่ำเสมอกันอย่างแน่นอน ฉะนั้นให้แน่ใจว่าได้สอดเหรียญตรวจสอบในหลายๆ จุดตั้งแต่ขอบด้านนอกไปจนถึงขอบด้านใน ยางมักจะสึกมากกว่าตรงขอบด้านใน แต่ยางที่เติมลมมากเกินไปมักจะสึกตรงกลางเส้น

-ถ้าคุณเห็นยางล้อหน้าสึกไม่สม่ำเสมอทั่วล้อ โอกาสเป็นไปได้มากที่ยางล้อหน้าจะตั้งศูนย์ไม่ตรง คุณควรจะนำรถเข้าตรวจสภาพและสลับยางไปล้อหลังถ้าเป็นไปได้ (รถบางรุ่นอาจมียางล้อหน้ากับล้อหลังต่างขนาดกัน) ยางจากล้อหลังน่าจะยังอยู่ในสภาพดีและยางที่สึกไม่เท่ากันนั้นพอย้ายไปอยู่ล้อหลังจะค่อยๆ ปรับจนเข้าที่เอง

-ยางจะเสื่อมสภาพเร็วกว่าเดิมในสภาพอากาศที่ร้อนกว่า

-เหรียญบาทก็อาจใช้แทนเหรียญสตางค์ได้

-สิ่งที่ควรทำคือการย้ายสลับยางโดยการเปลี่ยนยางล้อหลังสลับกับล้อหน้า โดยเฉพาะในรถที่ขับเคลื่อนสองล้อ

 

 

คำเตือน

-ยางไม่ควรที่จะต้องเสียดสีกับกันชนหรือส่วนอื่นๆ ของรถ ถ้ายางใหม่เกิดเสียดสีกับอะไรในตอนเลี้ยวหรือเวลาต้องข้ามเนินลูกระนาด แสดงว่ายางมันไม่พอดีกับล้อ ไม่ว่ามันจะดูเท่แค่ไหน ให้เปลี่ยนยางก่อนที่คุณจะเจอเหตุยางระเบิดและรถคว่ำเปล่าๆ

-โอกาสที่จะเกิดอาการเหินน้ำจะเพิ่มมากขึ้นกับยางที่ไม่มีดอก ความเสี่ยงของอาการเหินน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อยางเริ่มสึก นี่เป็นเรื่องจริงแม้ว่ายางจะไม่ได้สึกหมดทั้งเส้นก็ตาม ยางที่เหลืออายุดอกยาง 50% อาจเกิดอาการเหินน้ำในสภาวะที่ยางซึ่งยังมีอายุดอกยาง 90% ไม่เกิดปัญหาใดๆ

-ถ้าเกิดคุณไปเห็นเนื้อยางบนดอกยางหรือสังเกตเห็นรอยสึกตรงตรงขอบยางด้านข้าง ไม่ต้องไปหาเหรียญมาทดสอบแล้ว ให้ไปเปลี่ยนยางทันที การเห็นเนื้อยางนั้นเกิดไม่บ่อยนัก และถึงแม้ไปทดสอบด้วยเหรียญแล้วยังแสดงว่ายางนี้ยังใช้การได้ดี เนื้อยางก็เป็นตัวชี้ว่ามันจำเป็นต้องเปลี่ยนโดยด่วน มันอาจเกิดขึ้นได้และทางที่ดีก็ไม่ควรเสี่ยงให้เกิดยางระเบิดในระหว่างที่คุณกำลังใช้ความเร็วบนท้องถนน

-ระมัดระวังซื้อยางที่มีขนาดและประเภทถูกต้องสำหรับรถยนต์และกรอบล้อ การเปลี่ยนไปใช้ยางแบบหน้ากว้างพิเศษนั้นอาจจำเป็นที่คุณต้องซื้อกรอบล้อที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้เส้นรอบวงด้านนอกของยางยังคงเท่าเดิม ขนาดยางที่ไม่ถูกต้องหรือผสมดอกยางที่ไม่เหมือนกันจะทำให้ไฟเตือนลมยางอ่อนสว่างขึ้นในรถที่ติดตั้งระบบตรวจสอบแรงดันยาง (TPMS) ก็เป็นได้

-ระมัดระวังเวลาสลับยาง โดยเฉพาะเวลาสลับยางไปยังกรอบล้อที่ต่างกัน ยางรุ่นใหม่หลายรุ่นที่ทำมาเพื่อทิศทางการหมุนที่เฉพาะและตอบสนองต่อวิธีการหมุนเฉพาะแบบ ให้อ้างอิงตามคู่มือของผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย อย่างไรก็ดี รถยนต์แบบสปอร์ตบางแบบใช้ล้อต่างขนาดกันระหว่างล้อหน้ากับล้อหลัง และมิอาจสลับกันได้ ให้แน่ใจว่าล้อนั้นต้องมีขนาดเท่ากัน